บทที่ 2 ความลับของหินสีรุ้ง
เช้าวันที่สองของวันหยุดหลังจากที่ฉีหลินมานอนที่สวนสมุนไพร เธอตื่นขึ้นมาด้วยความขุ่นมัวในใจและความคับแค้นใจ ความฝันในวันนั้นยังตามหลอกหลอน คนเราจะร้ายกาจได้ขนาดนั้นเชียวหรือ
ฉีหลินคิดว่าหากมีใครมาทำเลวกับเธอเธอจะตอบสนองในแบบเดียวกันเพราะเธอถือว่าไม่อยากให้ใครทำเลวกับตัวเองก็อย่าไปทำเลวใส่ใคร เพราะถ้าหากกล้าที่จะทำจะต้องทำใจยอมรับผลที่ตามมาด้วย ไม่มีใครยอมถูกทำร้ายและโดนรังแกไปตลอดย่อมต้องหาทางตอบโต้และเอาคืนให้สาสมใจ
ในขณะที่ฉีหลินกินอาหารเช้าเสร็จแล้ววันนี้เธอสังเกตเห็นหินสีรุ้งที่ข้อมือมีสีเข้มขึ้นเหมือนกับว่ามันเปล่งประกายได้ เธอจึงใช้มืออีกข้างไปลูบที่หินสีรุ้ง
เมื่อฉีหลินลูบไปที่หินสีรุ้งในตอนนั้นเองมือข้างที่เธอใช้ลูบหินสีรุ้งนั้นได้จมหายเข้าไปในหินสีรุ้งก้อนนั้น ฉีหลินตกใจเป็นอย่างมากเธอรีบดึงมือกลับมาทันที
“นี่มันเรื่องอะไรกันนี่ หรือว่าเราจะตาฝาด แต่ไม่น่าจะใช่จะว่านอนไม่พอก็ไม่น่าใช่ เมื่อวานเรานอนแต่หัวค่ำแถมวันนี้ยังตื่นสายอีก ” ฉีหลินได้แต่พูดกับตัวเอง
แต่เพื่อความแน่ใจว่าตัวเองไม่ได้คิดไปเองหรือมีอาการประสาทหลอนเธอจึงลูบที่หินสีรุ้งอีกครั้งและครั้งนี้ก็เป็นเช่นเดิม มือของเธอได้จมหายเข้าไปในหินสีรุ้งก้อนเล็กนั่นอย่างไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นไปได้
หลังจากพบเจอเหตุการณ์ที่น่าตกใจเธอตั้งสติและเอามือออกจากหินสีรุ้ง จากนั้นก็นั่งคิดหาเหตุผลว่าเพราะอะไรทำไมมือของเธอจึงจมเข้าไปในหินก้อนเล็ก ๆ ได้
ฉีหลินถอนหายใจออกมาจากนั้นเพ่งมองเข้าไปในหินสีรุ้งที่ข้อมือของตัวเธอเอง แต่เธอก็ต้องตกใจอีกครั้งเมื่อเธอพบว่าภายในก้อนหินเล็ก ๆ นั้นกลับมีห้องโถงกว้างขนาดหลายสิบเมตรและไม่แน่ว่ามันอาจจะกว้างเท่ากับบ้านหลังใหญ่ ๆ ที่มีเนื้อที่ขนาด 1 ไร่ เลยทีเดียว
“ตายล่ะหว่า นี่เราไปเก็บก้อนหินอะไรมาเนี่ย จะเกิดอะไรขึ้นกับเราหรือเปล่านะ หรือเราต้องเอาไปคืนที่เดิม จะทำยังไงต่อดี"
ฉีหลินที่ตอนนี้เริ่มหวาดกลัวและทำตัวไม่ถูกว่าจะทำยังไงดี ทำไมหินก้อนเล็ก ๆ ขนาดเท่าหัวแม่มือแต่ภายในกลับกว้างขวางเสียขนาดนั้นไปได้ แบบนี้มันน่าเหลือเชื่อเกินไปแล้ว หากเธอนำไปพูดให้คนอื่นฟังมีหวังได้ถูกคนกล่าวหาว่าเป็นบ้าไปแล้วแน่ ๆ
“หรือว่ามันจะเป็นเหมือนนิยาย ที่นิดาชอบอ่านและมาเล่าให้เราฟังกันนะหรือเจ้าสิ่งนี้จะเป็นมิติเหมือนในนิยาย ถ้ามันสามารถเอาของเข้าไปได้และเอาออกมาได้เหมือนในนิยายจะทำยังไง แบบนี้ต้องลองดู”
หลังจากที่นั่งพูดคนเดียวพูดเองเออเองได้สักพัก เธอก็คิดว่าจะลองนำเอาแก้วน้ำเข้าไปในหินสีรุ้งดูแต่เธอไม่รู้วิธีที่จะเอาแก้วน้ำเข้าไป แต่ก็เหมือนจะมีเรื่องบังเอิญอยู่บ้าง ในตอนที่เธอกำลังคิดหาวิธีเอาแก้วน้ำเข้าไปในหินสีรุ้งนั้น
แก้วน้ำก็หายไปทันทีเธอจึงเพ่งสายตาเข้าไปในหินสีรุ้งพบว่าแก้วน้ำที่หายไปจากมือของเธอตอนนี้ได้เข้าไปอยู่ในหินสีรุ้งเรียบร้อยแล้ว
“โอ๊ะ ทำได้จริง ๆ เหรอนี่ แบบนี้ก็ดีสิเอาไว้เก็บของมีค่าจะดีเสียยิ่งกว่าตู้เซฟอีกนะเนี่ย”
หลังจากค้นพบความลับของหินสีรุ้งแล้ว ฉีหลินจึงออกไปข้างนอกใช้วันหยุดยาว 5วันนี้ในการพักผ่อนและทำงานในสวนสมุนไพรของเธอ
วันสุดท้ายของวันหยุดยาวมาถึงฉีหลินเก็บของเพื่อที่จะกลับไปนอนที่ตัวเมืองและเริ่มงานในเช้าวันถัดไป วันหยุดยาวในครั้งนี้เธอรู้สึกว่าเธอสนุกกับมันมาก
ยังมีเรื่องของหินสีรุ้งอีกตอนนี้เธอเอาผลไม้หลายอย่างเข้าไปเก็บเอาไว้ในหินสีรุ้ง และยังเอาสมุนไพรหลายอย่างใส่เข้าไปด้วยหลังจากเวลาผ่านไปหลายวันเธอพบว่าผลไม้และสมุนไพรยังคงอยู่ในสภาพเดิมไม่เหี่ยวเฉา เรื่องนี้นับว่าเป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้นมากสำหรับฉีหลิน
เช้าวันรุ่งขึ้นฉีหลินไปทำงานตามปกติและพูดคุยกับเพื่อนร่วมงานด้วยความสนุกสนานเมื่อถึงเวลาเลิกงานเธอก็ไปเดินเที่ยวกับเพื่อนก่อนที่จะแยกย้ายกลับบ้านไปพักผ่อน
ในคืนนั้นเองฉีหลินได้ฝันอีกครั้งแต่ครั้งนี้เธอไม่ได้ฝันถึงครอบครัวเหล่านั้นที่โดนเอารัดเอาเปรียบ เธอฝันถึงชายชราคนหนึ่ง ที่ใส่ชุดฮั่นฝูสีขาวล้วนเหมือนหลุดออกมาจากซีรีส์จีน
ในฝันชายชราได้บอกกับฉีหลินว่าเวลาของเธอในที่แห่งนี้เหลือน้อยเต็มที ฉีหลินไม่เข้าใจว่าเหตุใดชายชราถึงพูดแบบนี้กัน ที่น่าแปลกใจคือเธอสามารถฟังภาษาจีนเข้าใจตั้งแต่เมื่อไหร่กัน
ชายชราบอกกับเธอว่าเธอมีเวลาเตรียมตัวเพียงแค่ 7 วันเท่านั้น ส่วนหินสีรุ้งที่ข้อมือของเธอเป็นของที่ชายชราตั้งใจมอบให้เธอโดยเฉพาะเพื่อเป็นการไถ่โทษต่อเธอ แต่ชายชราไม่ได้บอกเธอว่าเขาทำอะไรผิดต่อเธอ ถึงแม้ว่าฉีหลินจะถามชายชราหลายครั้งแล้วแต่เขาก็ไม่ตอบคำถามของเธอเลย
ชายชรายังบอกอีกว่าหินสีรุ้งก้อนนี้ไม่เพียงแต่ใช้เป็นมิติเท่านั้น สิ่งของที่เก็บเอาไว้จะไม่เน่าเสียแต่ไม่สามารถใส่สิ่งชีวิตเข้าไปในมิติได้
และหินสีรุ้งเมื่อนำไปแช่น้ำและนำน้ำที่แช่ไปรดพืชผักจะเร่งการเจริญเติบโตให้พืชผักได้อีกด้วย หากดื่มกินน้ำที่แช่หินสีรุ้งเป็นประจำจะทำให้ร่างกายแข็งแรงไม่เจ็บป่วยง่าย ๆ
“เอาล่ะนังหนู สิ่งที่ข้าสามารถบอกเจ้าได้ข้าก็บอกเจ้าไปจนหมดแล้ว เจ้ามีอะไรสงสัยอีกหรือไม่”
“หนูมีเวลากี่วันหรือคะคุณตา แล้วคุณตาจะพาหนูไปไหนหรือคะ แล้วที่ที่จะไปเป็นที่แบบไหน”
“เวลาของเจ้าในที่แห่งนี้ใกล้หมดแล้ว และเมื่อเจ้าจากไปทุกคนจะลืมเลือนเจ้าเหมือนเจ้าไม่เคยมีอยู่ในที่แห่งนี้ ส่วนเจ้าจะไปที่ไหน ข้าบอกเพียงได้ว่าเป็นโลกคู่ขนานและอยู่คนละห้วงมิติเวลากับที่แห่งนี้ ที่นั่นเจ้าจะมีครบทุกอย่างที่เจ้าปรารถนาจะมี แต่ที่แห่งนั้นครอบครัวของเจ้าล้วนยากจนและลำบาก ที่แห่งนั้นเป็นโลกล้าหลังในยุคของจีนโบราณที่ไม่มีอยู่จริง เอาล่ะไม่ต้องถามแล้ว เจ้าใช้เวลาที่เหลืออยู่เตรียมตัวเถอะ อีก 7 วันข้าจะมารับ ข้าบอกเจ้าได้เพียงเท่านี้ ที่เหลือขึ้นอยู่กับสติปัญญาของเจ้าแล้ว”
“อ้าว เดี๋ยว ๆ คุณตา เดี๋ยวก่อน อย่าเพิ่งไป อ้าวไปแล้ว แล้วจะทำยังไงล่ะเนี่ย พี่เหมียวจะเสียใจไหม นิดาล่ะ จะคิดถึงเราหรือเปล่า ไหนจะรฐาอีก ถ้าเราไม่เก็บก้อนหินนี่มาก็คงไม่เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น หรือว่ามันเป็นโชคชะตากันแน่"
เมื่อทำอะไรไม่ได้ฉีหลินจำเป็นต้องทำตามคำแนะนำของชายชรา เธอลาพักร้อนในวันรุ่งขึ้นโดยบอกกับหัวหน้าว่ามีธุระด่วนที่ต้องไปทำซึ่งหัวหน้าก็อนุญาตให้เธอลาทันที
เธอได้ทำการโอนกรรมสิทธิ์สวนสมุนไพรให้กับสามีภรรยาที่ดูแลสวนให้เธอ ส่วนเงินในธนาคารเธอถอนออกมาและได้บริจาคให้กับสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าที่เธอเติบโตมา
ส่วนเงินที่เหลือฉีหลินขับรถไปตามห้างสรรพสินค้า และเริ่มซื้อข้าวสาร เครื่องปรุงอย่างเช่นเกลือ น้ำตาล ไข่ไก่ เนื้อหมู เนื้อไก่ ฉีหลินซื้อข้าวสารจำนวนมากและยังซื้อซาลาเปาร้านประจำที่เธอกินประจำอีก 1,000 ลูก
ฉีหลินไม่รู้หรอกว่าเธอจะได้ไปอยู่ในที่แบบไหน มีข้าวสารย่อมดีกว่า มีข้าวกินดีกว่าไม่มี กับข้าวค่อยหาเอาข้างหน้า ฉีหลินขายของมีค่าทุกอย่าง รวมถึงรถของเธอด้วยเช่นกันหลังจากนั้นเธอได้บอกยกเลิกสัญญาเช่าคอนโดที่เธออาศัยมากว่า 5 ปี
เมื่อจัดการทุกอย่างฉีหลินนำเงินที่เหลือโอนให้สถานเด็กกำพร้าอีกรอบและเหลือเงินติดตัวเองไว้แค่พอสำหรับใช้จ่ายในอีกไม่กี่วันที่เหลือ เธอคิดว่าจะออกมาเช่าโรงแรมอยู่เพื่อรอเวลา
แต่ใครจะไปคิดเล่าว่าเธอจะอยู่ไม่ถึง 7 วันตามที่ชายชราบอก ทันทีที่เธอเดินออกจากคอนโด ยังไม่ทันข้ามถนนเลยด้วยซ้ำ ก็มีรถยนต์เสียหลักข้ามเกาะกลางถนนพุ่งมาชนเธอจนเกิดเสียงดังสนั่น
ร่างของฉีหลินลอยตามแรงกระแทกของรถ ร่างของเธอตกลงบนถนนท่ามกลางเสียงกรีดร้องของผู้คนและสติของเธอที่เริ่มลางเลือน เธอยังไม่ได้บอกลาใครแม้แต่คนเดียว
ไหนว่าอีก 7 วัน นอกจากจะไม่รักษาสัญญาและไม่รักษาเวลาแล้วยังให้เธอจากไปด้วยความเจ็บปวดอีกด้วย อ่า ช่างเป็นชายชราที่น่าโมโหเสียจริง ๆ หากเธอได้เจออีกครั้งกับชายชราคงต้องต่อว่าเขาสักหน่อยเป็นผู้ใหญ่ทำไมถึงไม่รักษาคำพูดเลย
สติของฉีหลินค่อย ๆ ลางเลือนและจากไปในที่สุด ชายชราที่มาช้าและไม่ทันการณ์ได้แต่ถอนหายใจ เขาทำได้แค่นำพาดวงวิญญาณของเธอไปส่งในที่อันห่างไกลให้สมกับที่ฉีหลินตั้งใจและคาดหวังอย่างไม่รู้ตัว
“ข้าส่งเจ้าได้แค่นี้ จากนี้ไปข้าขออวยพรให้เจ้าใช้ชีวิตให้ดี ให้สมกับที่เจ้าปรารถนานะข้าหวังว่าเจ้าจะผ่านพ้นความลำบากไปได้ พบกันใหม่ภพชาติต่อไปนะนังหนู ฮ่า ฮ่า ฮ่า”
